โครงสร้างอย่างง่ายของโปรแกรมภาษา C
โปรแกรมภาษา C ที่สามารถ execute ได้ ทุก
โปรแกรมจะมีโครงสร้างอย่างง่าย ดังนี้
1. มีฟังก์ชันชื่อว่า main( ) อย่างน้อยหนึ่งฟังก์ชัน จึงจะ
สามารถทำการ execute program ได้ลักษณะของฟังก์ชัน
main( ) จะต้องเป็นฟังก์ชันที่ไม่มีการส่งค่าไปยังฟังก์ชันอื่น
หรือไม่มี argument นั่นเองและจะต้องไม่มีการส่งค่ากลับมายัง
ชื่อฟังก์ชัน โดยเราสามารถใช้คำว่า void นำหน้า
ฟังก์ชัน ซึ่ง main( ) สามารถเขียนได้ดังนี้ void
main(void)
2. ขอบเขตฟังก์ชัน main (delimiters) ในโปรแกรม
ภาษา C ใช้เครื่องหมาย { แทนการเริ่มต้นฟังก์ชัน และใช้
เครื่องหมาย } แทนการสิ้นสุดฟังก์ชัน ดังนั้นเมื่อเขียน
ฟังก์ชัน main( ) ทุกครั้งจะต้องมีเครื่องหมาย { และ
} อยู่ด้วยเสมอ
3. การปิดท้ายคำสั่งในภาษา C จะต้องใช้เครื่องหมาย ;
(semicolon) เป็นการบ่งชี้ให้ C compiler ทราบว่าจบคำ
สั่ง (statement) แต่ละคำสั่งแล้ว
4. ชื่อฟังก์ชันและคำสั่งในภาษา C จะต้องเขียนด้วยตัวอักษร
ตัวเล็ก (lowercase letter)ทั้งหมดทั้งนี้เพราะ C
compiler จะคิดว่าตัวอักษรตัวใหญ่ (uppercase letter)
กับตัวอักษรตัวเล็ก แตกต่างกัน เช่น main( ) ไม่เหมือน
กับ Main( ) หรือ MAIN( ) เป็นต้น
5. ชื่อตัวแปร (variable name) สามารถตั้งชื่อโดยใช้ ตัว
อักษรตัวเล็กหรือตัวอักษรตัวใหญ่ก็ได้หรือใช้ตัวอักษรตัวเล็กกับตัว
อักษรตัวใหญ่ผสมกันก็ได้ อาทิเช่น ชื่อตัวแปร name ไม่
เหมือนกับ Name หรือ NAME เป็นต้น เพราะว่าลักษณะของ
ภาษา C จะสามารถจำแนกความแตกต่างของตัวอักษรตัวเล็ก
และตัวใหญ่ได้ ดังนั้นเราสามารถใช้ตัวอักษรตัวเล็ก a ถึง z
และตัวอักษรตัวใหญ่ A ถึง Z มาตั้งชื่อตัวแปรได้ หรือจะตั้ง
ชื่อตัวแปรเหมือนกัน ทุกประการได้ เช่นชื่อตัวแปร a กับ a
ก็ได้ แต่ตัวแปรทั้ง 2 ตัวนี้จะต้องอยู่ต่างฟังก์ชันกันเท่านั้น ถ้า
อยู่ในฟังก์ชันเดียวกัน compilerจะบอกข้อผิดพลาดออกมา
ขั้นตอนการพัฒนาโปรแกรมภาษา C
การพัฒนาโปรแกรมภาษา C มีขั้นตอนดังนี้
1) เขียนโปรแกรมต้นฉบับ (source program) ด้วย
ภาษา C โปรแกรม Turbo C/ C++ เพื่อเขียนโปรแกรม
ต้นฉบับด้วยภาษา C จากนั้นบันทึกโปรแกรมพร้อมกับตั้งชื่อแฟ้ม
ไว้ แฟ้มที่ได้จะมีนามสกุล *.c หรือ *.cpp เช่น
simple.c หรือ simple.cpp เป็นต้น นอกจากนี้ยัง
สามารถใช้โปรแกรม Turbo C/C++ เขียนโปรแกรมภาษา
C++ ได้อีกด้วย
2) แปลโปรแกรมภาษา C ไปเป็นโปรแกรมภาษาเครื่อง
(object program) ใช้คำสั่ง compile เพื่อแปล
โปรแกรมภาษา C ไปเป็นโปรแกรมภาษาเครื่อง แฟ้มที่ได้จะมี
นามสกุล *.obj ซึ่งในขั้นตอนนี้โปรแกรมต้นฉบับอาจเกิดความ
ผิดพลาดทางไวยกรณ์ภาษา (syntax error) ขึ้นได้ จึง
ต้องย้อนกลับไปแก้ไขโปรแกรมต้นฉบับในข้อ1.ให้ถูกต้องเสียก่อน
3) เชื่อมโยง (link) โปรแกรมภาษาเครื่องเข้ากับ
library function ของภาษา C จะได้เป็น
execute program โดยใช้คำสั่ง link แฟ้มที่ได้จะมี
นามสกุล *.exe
4) สั่งให้ execute program แสดงผลลัพธ์ออกมา โดย
ใช้คำสั่ง run
ข้อมูลของภาษา C
สำหรับเรื่องข้อมูลของภาษา C จะกล่าวถึงเรื่องตัวอักขระ ค่า
คงที่ และตัวแปร ดังรายละเอียดต่อไปนี้
ตัวอักขระ (charactors)
ตัวอักขระในภาษาC สามารถจำแนกออกเป็น 3 ประเภท คือ
1) ตัวเลข (digits) คือ ตัวเลข 0, 1, 2, ….,
9 และตัวเลขฐานสิบหก A, B, C, D, E และ F
2) ตัวอักษร (letters) สามารถใช้ตัวอักษรพิมพ์ใหญ่
(uppercase letter) คือ A, B, C, …, Z และตัว
อักษรพิมพ์เล็ก (lowercase letter) คือ a, b, c,
…., z รวมทั้งสิ้น 52 ตัวอักษร
3) ตัวอักขระพิเศษ (special character) ซึ่งได้แก่
! * +
“ <
# ( =
| >
% ) ~
; /
^ - [
: ,(comma)
? & _
] ‘
.(dot) b (blank หรือ space)
ค่าคงที่ (constants)
ค่าคงที่ คือตัวอักขระที่นำมาประกอบกันตั้งแต่ 1 ตัวอักขระขึ้น
ไป เพื่อบอกลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งของข้อมูล บางครั้งเรา
อาจเรียกค่าคงที่ว่า “ข้อมูล” (data) ก็ได้
ค่าคงที่พื้นฐานที่สำคัญในภาษา C มีดังนี้
1) ค่าคงที่ชนิดตัวเลขจำนวนเต็ม(integer constant)
ค่าคงที่ชนิดนี้จะเป็นตัวเลขจำนวนเต็มซึ่งอาจมีเครื่องหมาย
บวกหรือลบก็ได้ เช่น 0, 9, 85, -698, 1832,
-2080 เป็นต้น โดยตัวเลขจำนวนเต็มที่จะสามารถเก็บได้ปรกติ
จะอยู่ในช่วง -32768 ถึง 32767 เท่านั้น บางครั้งเรา
นิยมเรียกค่าคงที่ชนิดนี้ว่าค่าคงที่ int (integer)
สำหรับการเก็บค่าคงที่ชนิด int นี้ภายในหน่วยความจำ จะใช้
เนื้อที่ 2 bytes นอกจากนี้ยังสามารถเขียนค่าคงที่ชนิดนี้ให้
อยู่ในรูปแบบตัวเลขฐานแปดและฐานสิบหกได้ โดยใช้ตัวเลข
ศูนย์ (0) นำหน้าแล้วตามด้วยเลขฐานแปดที่ต้องการหรือจะใช้
ตัวเลขศูนย์เอ็กซ์ (0x หรือ0X) นำหน้าแล้วตามด้วยเลขฐาน
สิบหกที่ต้องการ เช่น 046, 027, 0xBD,
0X1BCF เป็นต้น
2) ค่าคงที่ชนิดตัวเลขทศนิยม(floating point
constant)
ค่าคงที่ชนิดนี้จะเป็นตัวเลขจำนวนทศนิยม ซึ่งอาจจะมีเครื่องหมาย
บวก หรือลบก็ได้ หรือเป็นตัวเลขที่สามารถเขียนอยู่ในรูป
E ยกกำลังได้ เช่น 3.0, 0.234, -0.54, 4E-
06, 1.675E+10 เป็นต้น โดยตัวเลขทศนิยมนี้จะสามารถ
เก็บได้ปรกติจะอยู่ในช่วง 1.2E-38 ถึง 3.4E+38 เท่านั้น
สำหรับการเก็บค่าคงที่ชนิด float นี้จะใช้เนื้อที่ภายในหน่วย
ความจำ 4 bytes โดยที่ 3 bytes แรกจะเก็บค่าตัว
เลขทศนิยม ส่วนอีก 1 bytes สุดท้ายจะเก็บค่ายกกำลัง
เอาไว้
3) ค่าคงที่ตัวเลขทศนิยมที่มีความละเอียดสองเท่า
(double floating point)
ค่าคงที่ชนิดนี้นิยมเรียกว่า ค่าคงที่แบบ double ซึ่งจะ
สามารถเก็บตัวเลขทศนิยมที่มีค่าอยู่ในช่วง 2.2E-
308 ถึง 1.8E+308 เท่านั้นสำหรับการเก็บค่าคงที่ชนิด
double นี้ จะใช้เนื้อที่ภายในหน่วยความจำ 8
bytes โดยใช้ 7 bytes แรกเก็บค่าตัวเลขทศนิยม ส่วน
อีก 1 bytes สุดท้ายจะเก็บค่ายกกำลังเอาไว้ เช่นเดียวกับ
ค่าคงที่ชนิด float
4) ค่าคงที่ชนิดตัวอักขระตัวเดียว (single character
constant)
ค่าคงที่ชนิดนี้จะสามารถเก็บตัวอักขระได้เพียง 1 ตัว
อักขระ โดยอยู่ภายในเครื่องหมาย‘’ (single
quotation) เช่น ‘5’, ‘X’, ‘c’ เป็นต้น
สำหรับการเก็บค่าคงที่ชนิด single character
constant จะใช้เนื้อที่ภายในหน่วยความจำ 1 bytes
5) ค่าคงที่ชนิดข้อความ (strings constant)
ค่าคงที่ชนิดนี้จะเก็บตัวอักขระมีความยาวตั้งแต่ 1 ตัวขึ้น
ไป โดยจะเก็บอยู่ในรูปของข้อมูลอะเรย์ (arrays) ซึ่งใน
แต่ละตัวอักขระจะใช้เนื้อที่ในการเก็บ 1 bytes เรียงติดต่อกัน
ไปจนกระทั้งจบข้อความ และใน byte สุดท้ายจะเก็บ \0
(null character) เอาไว้เพื่อเป็นการบอกว่า จบข้อความ
แล้ว การเขียนค่าคงที่ชนิดข้อความจะต้องเขียนอยู่ภายใน
เครื่องหมาย “……” (double quotation) เช่น
“X”, ”computer”, “4567”, “c” เป็นต้น
ตัวแปร (variables)
ตัวแปร คือ ชื่อที่ผู้เขียนโปรแกรมตั้งขึ้นเพื่อใช้เป็นข้อมูล หรือใช้เก็บข้อมูล ดังนั้นเราต้องกำหนดตัวแปรให้
สอดคล้องกับชนิดข้อมูลเสมอ เพื่อให้ระบบเตรียมเนื้อที่ในหน่วย
ความจำให้สอดคล้องกับตัวแปรชนิดนั้น ๆ ซึ่งเนื้อหาที่กล่าวถึง
เกี่ยวกับตัวแปรประกอบด้วย หลักเกณฑ์การตั้งชื่อตัวแปร การ
ประกาศตัวแปร และการกำหนดค่าเริ่มต้นให้กับตัวแปร
หลักเกณฑ์การตั้งชื่อตัวแปร
ในภาษา C มีหลักเกณฑ์การตั้งชื่อตัวแปรดังนี้
1) ชื่อตัวแปรจะต้องขึ้นต้นด้วยตัวอักษรเท่านั้น ตัวถัดมาเป็นได้
ทั้งตัวอักษร ตัวเลข แต่ต้องไม่มีเครื่องหมายคำนวณ บวก
(+), ลบ (-), คูณ (*), หาร (/), หารเอาเศษ
(%) และเครื่องหมายเว้นวรรค (blank) คั่นระหว่างชื่อ
ตัวแปร แต่ถ้าต้องการตั้งชื่อตัวแปรเว้นวรรคให้ใช้เครื่องหมาย
_ (underscore) คั่นแทนการเว้นวรรค เช่น sum_1,
sum_2 เป็นต้น
2) ความยาวของชื่อตัวแปร ขึ้นอยู่กับคอมไพเลอร์และระบบ
เครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งภาษา C สามารถตั้งชื่อตัวแปรได้ยาวถึง
32 ตัว แต่โดยปกติเราไม่นิยมตั้งชื่อตัวแปรยาว ๆ
3) ชื่อตัวแปรตัวอักษรพิมพ์ใหญ่และตัวอักษรพิมพ์เล็ก แม้จะ
เขียนคำเดียวกัน หรือตัวอักษรพิมพ์ใหญ่ปนตัวอักษรพิมพ์เล็กที่
สลับตำแหน่งกัน ระบบถือว่าเป็นคนละตัวแปร
กัน เช่น ตัวแปร MAX, max, Max, mAx, maX จะ
ถือว่าตัวแปรทั้ง 5 ตัวนี้เป็นคนละตัวกัน
4) ห้ามตั้งชื่อตัวแปรซ้ำกับคำสงวน (reserved
word) หรือชื่อฟังก์ชัน หรือชื่อคำสั่งในภาษานั้น ๆ
คำสงวนในภาษา C ตามมาตรฐาน ANSI (American
National Standards Institute) มี 33
keywords ดังนี้
asm, auto double int struct
break else long switch
case enum register typedef
char extern return union
const float short unsigned
continue for signed void
default goto sizeof volatile
do if static while
5) ชื่อตัวแปรควรตั้งให้สัมพันธ์กับข้อมูลที่ต้องการเก็บ เพื่อ
ป้องกันความสับสน เนื่องจากโปรแกรมที่มีขนาดใหญ่จะมีตัวแปร
จำนวนมาก ถ้าเราตั้งชื่อตัวแปรโดยไม่มีระบบระเบียบที่ดีพอจะ
ทำให้ผู้อ่านโปรแกรมเกิดความสับสนและในกรณีที่โปรแกรมเกิดข้อ
ผิดพลาดขึ้นจะเสียเวลาในการแก้ไขโปรแกรมมากขึ้น เช่น
ตัวแปร name ใช้เก็บชื่อ
ตัวแปร age ใช้เก็บอายุ
ตัวแปร salary ใช้เก็บเงินเดือน
ตัวแปร vat ใช้เก็บภาษี
การประกาศตัวแปร (declaration of variables)
ตัวแปรทุกตัวต้องมีการประกาศชื่อตัวแปร (variable
name) และชนิดของตัวแปร (variable type) เอาไว้
ก่อน จึงจะสามารถนำตัวแปรที่ประกาศไว้มาใช้งานได้
รูปแบบการประกาศตัวแปร
รูปแบบการประกาศตัวแปร
vtype vname ;
|
โดยที่
vtype คือ ชนิของตัวแปรพื้นฐานที่นิยมใช้กันมีอยู่
4 ชนิด คือ char, int, float, และ
double ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว การประกาศชนิดของตัวแปรจะ
ต้องให้ความสัมพันธ์กับค่าข้อมูลที่ต้องการเก็บด้วย
vname คือ ชื่อของตัวแปร ถ้ามีตัวแปรหลายตัวที่ต้องการให้มี
ชนิดตัวแปรเหมือนกัน สามารถใช้เครื่องหมาย , (comma) คั่น
ระหว่างชื่อตัวแปรได้
ตาราง แสดงชนิดของตัวแปร จำนวน bytes และพิสัย
ของค่าข้อมูลในภาษา C
ชนิดของตัวแปร
(variable types)
|
จำนวน bytes ที่ใช้
|
พิสัยในการเก็บข้อมูล
(range) |
char
|
1
|
-128 to 127
|
int
|
2
|
-32,768 to 32,767
|
short
|
2
|
-32,768 to 32,767
|
long
|
4
|
-2,147,483,648 to 2,147,483,647
|
unsigned char
|
1
|
0 to 255
|
unsigned int
|
2
|
0 to 65,535
|
unsigned short
|
2
|
0 to 65,535
|
unsigned long
|
4
|
0 to 4,294,967,295
|
enum
|
2
|
0 to 65,535
|
float
|
4
|
1.2E-38 to 3.4E+38
|
double
|
8
|
2.2E-308 to 1.8E+308
|
การกำหนดค่าเริ่มต้นให้กับตัวแปร (initializing
variables)
ตัวอย่าง แสดงการประกาศตัวแปรและกำหนดค่าให้ตัวแปร
1. char d=’D’,e=’E’;
2. char c[6]=”Hello”;
3. int a=9, b=25;
4. float k=5.9;
5. double y=3.543006089;
การกำหนดค่าเริ่มต้นให้กับตัวแปร (initializing
variables)
หลังจากที่เราได้ประกาศตัวแปรไว้ ถ้าเราต้องการกำหนดค่าเริ่มต้น
ให้กับตัวแปรใดเราสามารถทำได้ดังนี้
รูปแบบกำหนดค่าเริ่มต้นให้กับตัวแปร
vname = value;
|
โดยที่
vname คือ ชื่อตัวแปรที่ได้ประกาศแล้ว
value คือ ค่าข้อมูลที่จะนำไปเก็บไว้ในตัวแปร ซึ่งอาจเป็น
ค่าตัวเลขหรือข้อความก็ได้ ถ้าเป็นข้อความจะต้องเขียนอยู่ใน
เครื่องหมาย “……”
ตัวอย่าง แสดงการประกาศค่าตัวแปรและกำหนดค่าเริ่มต้นให้กับ
ตัวแปร
int a, b, c=7; /* เป็นการ
ประกาศตัวแปร a, b, และ c, เป็น int และกำหนด
ค่าตัวแปร c มีค่า 7 */
a=b=c; /* เป็นการกำหนด
ค่าตัวแปร a และ b ให้มีค่าเท่ากับตัวแปร c (คือมีค่า
เท่ากับ 7) */
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น